เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราต้องอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง โลกแห่งความเป็นจริง สุขก็รู้ว่าสุข ทุกข์ก็รู้ว่าทุกข์ แต่เราต้องอยู่กับสังคมโลก สังคมโลก เห็นไหม มนุษย์เกิดเป็นสัตว์สังคม ถ้ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราอยู่กับสังคม ถ้าเรามีคุณธรรมในหัวใจของเรา นี่เขาให้ธรรมเป็นทานๆ ให้ธรรมเป็นทาน แล้วธรรมของใครล่ะ ให้ธรรมเป็นทานเพราะลัทธิศาสนาอื่นเขาก็ว่าเป็นธรรมเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นธรรมของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เชื่อกาลามสูตร กาลามสูตร ความเชื่อ กาลามสูตรคือพิสูจน์ไง พิสูจน์ในหัวใจของเรา ถ้าพิสูจน์ในหัวใจของเรา เห็นไหม

คนมองข้าม มันมองเห็นเรื่องของศาสนาเป็นของเล็กน้อย แต่เรื่องศาสนาเป็นของเล็กน้อยนะ เรื่องศาสนานี่เป็นเรื่องธรรมประจำชีวิตเลย ถ้าคนมีคุณธรรม เด็กที่มีคุณธรรมขึ้นมา เด็กที่เม็ดในมันดีคือจิตเขาดีนะ เขาดีมาตั้งแต่เด็กๆ เขาดีกันตั้งแต่เด็กๆ เด็กๆ ของเขานะ เขาว่านอนสอนง่ายของเขา เขามีกตัญญูกตเวทีของเขา แล้วถ้ามันโตขึ้นมา ถ้าน้ำใจของเขา น้ำใจของเขา คือเขาไม่หาฟืนหาไฟใส่หัวใจของเขา เขาอยู่ในสังคมอย่างนั้นนะ อยู่ในโรงเรียน อยู่ในหมู่เพื่อน เพื่อนจะชักจูงไปไหนเขาก็มีหลักมีเกณฑ์ของเขา แล้วเขาสามารถโน้มน้าวให้เพื่อนของเขาเข้าสู่สัจจะ เข้าสู่หลักความจริงนั้นได้ด้วย นั่นคือเม็ดในของเขา ถ้าเม็ดในของเขา จริตนิสัย คนได้สร้างของเขามา

คนได้สร้างมา การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เพราะการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ สร้างแต่คุณงามความดี สร้างแต่คุณงามความดีมา แต่ขณะที่สร้างคุณงามความดีมานะ เวลาเราไปศึกษาประวัติองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในสมัยเป็นพระโพธิสัตว์ มันเศร้าใจ เสียเปรียบเขาทั้งนั้น เสียเปรียบเขาทั้งนั้น ทำคุณงามความดีเสียเปรียบเขาทั้งนั้น แต่ความเสียเปรียบอย่างนี้มันเสียเปรียบเพราะใจรัก ใจมันรัก ใจมันเห็นคุณงามความดี ถ้าใจเห็นคุณงามความดีอย่างนั้น ทำคุณงามความดีอย่างนี้ได้ ถ้าทำคุณงามความดีอย่างนี้ได้ จริตนิสัยของเขา เขามีจุดยืนของเขา

ในสมัยปัจจุบันนี้การศึกษาเจริญ ทางวิทยาศาสตร์เจริญ เวลาใครจะมีลูกคนแรก เปิดตำราเลี้ยงลูก เพราะฝรั่งมันคิดไว้ให้ ต้องเลี้ยงลูกอย่างนั้น...เลี้ยงลูกก็เลี้ยงอย่างนั้นน่ะ มันเป็นสภาวะแวดล้อม แต่จิตใจของเขาล่ะ หัวใจของเขาล่ะ ถ้าของเขาเป็นความจริงของเขา ถ้าเป็นความจริงของเขานะ มันจะอยู่ในสภาวะแวดล้อมดีหรือสภาวะแวดล้อมที่เลวทรามขนาดไหน ถ้าจิตเขาดี เขามีจุดยืนของเขา เขาไปของเขาได้ แต่สภาวะแวดล้อมก็มีความสำคัญ มีความสำคัญเพราะว่าในสมัยปัจจุบันนี้โลกร้อนๆ เขากำลังโทษชี้นิ้วไปประเทศอื่นทั้งนั้นน่ะ ประเทศอื่นทำให้โลกร้อน ทำให้โลกร้อน ทำทุกคนน่ะ โดยความเป็นมนุษย์ มนุษย์ขับของเสียของมามันก็ทำให้โลกร้อนแล้ว คำว่า “โลกร้อนๆ” ชี้คนอื่นทั้งนั้นน่ะ

นี่ก็เหมือนกัน เราคิดแต่ชี้ไปสิ่งภายนอกๆ สภาวะแวดล้อมที่มันจะดีมันก็ดีของมัน คำว่า “ดี” สภาวะแวดล้อมก็มีความสำคัญ สำคัญว่าเราอยู่แล้วสุขสบาย แต่ความสุขสบายเป็นผลของวัฏฏะ ที่ว่าฟังธรรมๆ สัจธรรมอันนี้ สัจธรรมอันนี้มันเข้าสู่หัวใจของเรา ถ้าหัวใจมันมีสัจธรรม มันจะอยู่ในกองฟืนกองไฟขนาดไหน หัวใจก็ไม่เร่าร้อนไปกับเขา จะไปอยู่ในภูมิอากาศที่มันลบขนาดไหน เราก็ไม่เยือกเย็นไปกับเขา มันแก้ไขได้ มันแก้ไข ถ้าหัวใจที่เป็นธรรมมันแก้ไขได้เพราะอะไร เพราะมีสติมีปัญญา มันชุ่มชื่น มันมีสติปัญญาพร้อมที่จะแก้ไข

แต่หัวใจมันเป็นทุกข์นะ มันเจอสิ่งใดเล็กน้อย มันบ่นว่าทุกข์ สภาวะแวดล้อมก็ปกติ เขาอยู่กันสุขสบาย แต่เราหนาวนัก ร้อนนัก มันว่าของมันไป เพราะอะไร เพราะจิตใจอ่อนแอ นี่ไง ธรรม ที่ธรรมสำคัญ สำคัญตรงนี้ไง สำคัญถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา มันจะหนาวนัก มันจะร้อนนัก ดูสิ ในภูมิอากาศที่ติดลบ เขาก็มีมนุษย์อยู่อาศัย เขาก็ดำรงชีพของเขาได้ ดำรงชีพของเขาได้เพราะอะไร เพราะเขามีสติปัญญาของเขา เขาเอาตัวรอดของเขาได้ เราอยู่ในประเทศที่ร้อน ร้อนชื้น เราก็เอาชีวิตของเรารอดได้ เพราะเรามีสติปัญญาของเรา มีสติปัญญา

ดูบ้านทรงไทยสิ เขาสร้างไว้พ้นน้ำให้ใต้ถุนมันสูง ให้น้ำมันท่วม แล้วเวลาอากาศมันก็หมุนเวียน “อยากจะอยู่บ้านทรงสเปน แล้วก็ให้น้ำมันท่วม” นี่ไง สภาวะแวดล้อมๆ ถ้าสภาวะแวดล้อมที่มันฉลาด ถ้ามันฉลาด มันเอาตัวรอดได้ไง ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ไง

แล้วให้ธรรมชนะซึ่งการให้ทั้งปวง แล้วให้ธรรมๆ ให้สติปัญญา ให้สติปัญญา เห็นไหม เดี๋ยวนี้ลิขสิทธิ์นะ มันฟ้องเอา ไปศึกษาของมันสิ มันฟ้องเอาด้วย แต่ถ้ามันเป็นเรื่องของสาธารณะนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์นะ “อานนท์ ไม่มีกำมือในเรา มือเราแบตลอด”

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท้าพิสูจน์เลย ท้าให้เรากระทำ ให้ธรรมชนะซึ่งการให้ทั้งปวง ให้ธรรม สัจธรรมในหัวใจ ถ้าให้แล้วมันซาบซึ้ง มันซาบซึ้ง ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้วเรายังกราบถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูสิ เผชิญกับพญามาร เผชิญกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชนะมารมา “เราเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชาออกมา” เราก็ไปศึกษาฟองอวิชชา ศึกษาว่าไข่มันเป็นอย่างไร เปลือกไข่เป็นอย่างไร กูจะทุบเปลือกไข่ให้ได้เลย แต่มันไม่ได้ศึกษาใจของมันเลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชนะมารๆ เป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกมา เวลาเราเวียนว่ายตายเกิดขึ้นมา เราก็มีภพมีชาติของเรา เราก็มีอวิชชา มีฟองไข่ที่มันครอบงำหัวใจเรานี่ไง มันจะเจาะฟองไข่ก็ต้องเจาะฟองไข่ในหัวใจของเราสิ เราศึกษาแล้วเราก็มาศึกษาค้นคว้าของเรา หาหัวใจของเรา ถ้าเราเจาะฟองไข่ของเรา เราจะพ้นจากกิเลสตัณหาความทะยานอยาก พ้นจากสิ่งที่ครอบงำ สิ่งที่ครอบงำคืออะไร ความขัดอกขัดใจ ความไม่พอใจ ความดีดดิ้นในหัวใจทั้งนั้นน่ะ ทั้งนั้นเลย

“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนหัวใจของเราไม่ได้อีกเลย”

ความคิด ความคิด ความปรุง ความแต่งครอบงำหัวใจเรา เกิดจากความดำริ ความดำริมันจะคิด มันจะหาหนทาง มารมันเกิดมาพร้อม “เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนหัวใจเราไม่ได้อีกเลย” เห็นไหม โล่งโถง ไม่มีสิ่งใดกดดันเลยล่ะ มีวิหารธรรม มีความสุขมาก มีความสุขมาก หลวงตาท่านพูดบ่อย ตั้งแต่วันสิ้นกิเลสมา ไม่มีกิเลสตัวไหนจะเกิดขึ้นมาได้อีกในใจของครูบาอาจารย์เราเลย ตั้งแต่วันสิ้นกิเลส ตั้งแต่วันทำลายอวิชชา ทำลายพญามารไปแล้ว จบ! ไม่มีอะไรจะเกิดขึ้นมาได้อีกเลย

“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนหัวใจเราไม่ได้อีกเลย” แต่หลวงตาท่านทำโครงการช่วยชาติ ท่านใช้ความคิด ท่านใช้ปัญญาของท่าน เห็นไหม ปัญญาอย่างนี้มันเป็นปัญญาของธรรม ปัญญาที่จิตใจมันเป็นธรรมแล้ว จิตใจเป็นธรรมแล้วไม่มีฝักไม่มีฝ่าย ไม่มีนอกไม่มีใน ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น แต่มันมีธาตุขันธ์ไว้ประจำโลกไง

เราเกิดมา เกิดจากพ่อจากแม่ เราเกิดจากชาติตระกูลนั้น เราก็เป็นคนที่ชาติตระกูลนั้น หัวใจของเราทำคุณงามความดีของเรา เราทำคุณงามความดีเพื่อสาธารณะ เวลาเกิดมาแล้วมันมีอวิชชา มีฟองไข่มันครอบงำไว้นะ มันก็คิดแต่ตัวตนมันเท่านั้นน่ะ แต่มันทำลายอวิชชา ทำลายฟองไข่แล้วมันคิดถึงสาธารณะประโยชน์ คิดต่างๆ แล้วตัวใจพ้นแล้วด้วย

ถ้าให้ธรรมเป็นทานๆ ให้ธรรมจากตรงนี้ไง ถ้าตรงนี้มันเป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรมแล้ว มันเจือจานไปแล้วมันจะมีกิเลสที่ไหน ความเป็นธรรมในหัวใจไง แต่ถ้ามันมีแง่มีงอนในหัวใจ ติดตนเอง ติดหัวใจนี้แน่ะ ติดความคิดเรานี่ “พูดไปแล้วเราจะได้อะไร จะทำอะไรเราคิดเลยว่าเราจะได้อะไร”

มันจะได้อะไรอีกล่ะ มันจะเอาไว้ตายใช่ไหม มันต้องทำลายมันก่อนไง ถ้าทำลายมันแล้วมันไม่มีตัว มันจะได้อะไร มันไม่เอาอะไร มันไม่มีอะไร มันไม่ได้อะไร มันไม่ต้องการอะไร แต่มันทำเพื่อโลกไง ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ธรรมเป็นทานไง มันไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ไม่ต้องการอะไร มันมีอะไรล่ะ แต่ถ้ามันมีกิเลสนะ “เราจะได้อะไร ถ้าไม่ได้ไม่พูด ถ้าไม่ได้ไม่บอก” ให้ธรรมเป็นทานใช่ไหม แต่ถ้าให้ธรรมเป็นทานมันเป็นสาธารณประโยชน์ทั้งนั้น

ผลของวัฏฏะๆ ใครเห็นจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เกิดแต่ละภพแต่ละชาติ เวลาเกิดเป็นทิพย์ เกิดเป็นเทวดา ของเป็นทิพย์หมดเลย เอ็งอย่าตายจากตรงนั้นนะ รักษาไว้ สมบัติทิพย์อันนั้นน่ะ เวลาคนหมดอายุขัย แสงความเป็นทิพย์นั้นมันเริ่มจางลงๆ คือหมดอาหาร คนหมดอาหารอยู่ไม่ได้ วิญญาณาหาร ผัสสาหาร เวลาเป็นพรหม หมดอายุขัย เขาหมดอาหาร หมดความเป็นอยู่ของเขา คนไม่มีอาหารกิน คนไม่มีการสืบต่อชีวิต มันอยู่ได้ไหม? มันอยู่ไม่ได้หรอก ผลของวัฏฏะๆ

นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดมาแล้ว ที่ว่า เราจะได้อะไร จะเป็นอะไร อยากได้อะไร แล้วของเอ็งหรือ ของเอ็งจริงหรือเปล่า แต่ถ้ามันมีสติมีปัญญา ให้ฟังธรรมๆ ให้ธรรมชนะซึ่งการให้ทั้งปวง เรามีแล้วเราเจือจานเขา เราให้เขา เราให้เขาด้วยความภูมิใจของเรา เราไม่ใช่ให้เขาด้วยว่ายอมจำนนกับเขา เขาบีบบังคับจะเอา เราไม่ให้ แต่ถ้าเรามีศรัทธามีความเชื่อของเรา เราทะนุถนอมของเรา เราเพื่อประโยชน์ของเรา เราจะให้ ทำไม จะให้ เออ! ให้ด้วยความพอใจ นี่เราจะให้ เพราะอะไร เพราะไม่ได้อะไร ไม่มีอะไร ไม่อยากได้อะไร แต่จะให้ ถ้าให้ นี่ไง ถ้ามันคิดให้ได้ตามความเป็นจริง ถ้าจิตใจเป็นธรรมๆ ให้ธรรมชนะซึ่งการให้ทั้งปวง เพราะให้อย่างนี้ แต่ถ้ามันเป็นกิเลสนะ ให้ไปแล้วมันจะได้สิ่งตอบแทนเท่าไร ได้อะไรคืนกลับมา ถ้าคืนกลับมาแล้วมันจะได้ประโยชน์อะไร

ทำบุญที่สะอาดบริสุทธิ์ ปฏิคาหก เราขวนขวายนะ เกิดมาปากกัดตีนถีบหาปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อดำรงชีวิต เราหามาด้วยความทุกข์ความยาก เราหามาแล้วก็เป็นสมบัติของเรา หามาแล้วเราจะให้คนอื่นได้อย่างไร ถ้าให้ก็ให้แต่ลูกหลานของเรา แต่เพราะเรามีสติมีปัญญาของเรา เราหามาแล้ว ปฏิคาหก หามาด้วยความทุกข์ความยาก หามาด้วยความประหยัดมัธยัสถ์ เราหาของเรามา ของของเรา แล้วเราจะให้ ให้เพื่ออะไรล่ะ เราจะให้เพื่ออะไร

ถ้ามีสติปัญญานะ เราให้ด้วยน้ำพักน้ำแรงเรานะ สิ่งที่เราให้ เราให้เพราะอะไร เราให้เพราะเราเชื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะเชื่อรัตนตรัย เราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าการเสียสละ การสร้างอำนาจวาสนาบารมีของเรา เราทำเพื่อประโยชน์กับเรา แล้วให้ที่ไหน

ปฏิคาหก หามาด้วยความยากลำบาก เวลาความสุจริต ความถูกต้องดีงาม เวลาจะให้มันก็ต้องมีสติปัญญานะ ให้แล้ว ให้แล้วสบายใจ ให้แล้วเป็นประโยชน์ไหม เราเห็นน่ะ ดูสิ เราให้หลวงตาไป หลวงตาท่านทำประโยชน์เพื่อชาติ ของที่เป็นวัตถุ ใครเก็บไว้ไม่ไหวหรอก มันเยอะแยะไปหมด แต่ท่านให้มาแล้วท่านก็เสียสละของท่าน เสียสละเพื่ออะไร? เสียสละเพื่อไอ้ตาดำๆ เสียสละเพื่อพวกเรา เสียสละเพื่อให้อยู่ในชาติด้วยความมั่นคง เสียสละให้เราอยู่มีความเป็นสุขไง ท่านเสียสละของท่าน เวลาเราให้ ผู้ให้ ปฏิคาหก

ผู้รับ ถ้ามันมีความขุ่นข้องหมองใจ ถ้าให้ไม่ถูกใจ ไม่อยากได้ ถ้าให้ถูกใจ “โอ้โฮ! โยมมาจากไหน โยมสุดยอดเลย” ถ้าให้ถูกใจ ถ้าให้ไม่ถูกใจมันไม่พอใจนะ นี่ไง ปฏิคาหกไง

มันอยู่ที่อำนาจวาสนาบารมีนะ เวลาหลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขาของท่าน เห็นไหม เวลาเราอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่เจี๊ยะบอก “คิดถึงหลวงปู่มั่นทีไรนะ ถ้าเห็นอาหารที่มันมีคุณภาพ ร้องไห้ทุกที” เพราะท่านเป็นคนอุปัฏฐาก หลวงปู่เจี๊ยะกับหลวงตาท่านเป็นคนอุปัฏฐากบาตรของหลวงปู่มั่น ท่านเป็นคนจัดอาหารใส่บาตรหลวงปู่มั่นเอง ท่านเป็นคนเห็นว่าหลวงปู่มั่นฉันอะไร ดำรงชีวิตอย่างไร

หลวงปู่เจี๊ยะ ถ้ามีอาหารดีๆ ท่านจะน้ำตาไหล เราอยู่กับท่าน เราถามว่า “หลวงปู่ร้องไห้ทำไม”

“คิดถึงหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นไม่เคยได้ประสบพบเห็นอาหารอย่างนี้เลย ไม่เคยเห็น หลวงปู่มั่นไม่เคยเห็น” แล้วท่านเป็นคนจัดบาตร ท่านเป็นคนเอาอาหารใส่บาตรให้ หลวงปู่เจี๊ยะกับหลวงตาท่านเป็นคนสืบต่อกันมา แล้วท่านเป็นคนจัดบาตรให้ คือเราเป็นคนเอาอาหารให้ท่านฉัน เราเห็นน่ะ เราเห็น แล้วเวลามันมาเจออย่างนั้นท่านถึงน้ำตาไหลเลย น้ำตาไหลเพราะครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นจริงของท่าน ท่านอยู่ด้วยคุณธรรมของท่าน วิหารธรรมๆ ท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านมีความสุข ท่านมีคุณธรรมในหัวใจ ท่านไม่เห็นแก่ปากแก่ท้อง ท่านไม่เห็นแก่อาหารความเป็นอยู่ ท่านไม่เคยเห็นอย่างนี้ เห็นเรื่องของภายนอกมีคุณค่าเลย ท่านไม่เคยเห็นสิ่งที่ออกนอกใจของท่านจะมีคุณค่าเลย ท่านมีคุณธรรมของท่าน

ฉะนั้น สิ่งที่เวลาหลวงปู่เจี๊ยะ หลวงตาท่านเคยประสบอย่างนี้ ท่านคิดถึงครูบาอาจารย์ น้ำตาร่วงนะ นี่ผู้รับ รับด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ไง เพราะมันไม่ต้องการ ไม่ต้องการสิ่งใดทั้งสิ้น แต่มันเป็นไปด้วยอำนาจวาสนาบารมีของคน คนที่มันมีคุณธรรมขึ้นมา มันเป็นแรงดึงดูดขึ้นมาเอง ถ้าแรงดึงดูด นี่ผู้รับที่สะอาดบริสุทธิ์ไง ถ้ารับมาแล้วเป็นประโยชน์อะไร

ดูหลวงปู่มั่นสิ เวลาสมัยสงครามโลก มันไม่มีสิ่งใดหรอก ขาดแคลนไปหมดน่ะ เวลาได้สิ่งใดมา เขามาถวายผ้าให้พระถ่ายก่อน ถ่ายผ้า คือผ้ามันขาด ผ้ามันนุ่งไม่ได้แล้วก็ถ่าย จนหลวงตาท่านทนไม่ได้ “ให้เขาๆ แล้วหลวงปู่ใช้อะไรล่ะ”

“หัวหน้า เดี๋ยวมันมาเอง”

นี่ไง ผู้รับ ไม่ได้รับเพื่อตัวตนเลย ไม่ได้รับเพื่อเราเลย ไม่ได้รับเพื่อสะสมสิ่งใดเลย รับมาแล้วไอ้พวกที่ปลายอ้อปลายแขม ไอ้สามเณรน้อยไม่มีใครดูแลมัน ถ้ามันขาดแคลน ให้มันไปก่อน สิ่งใดที่มันขาดแคลนมา ให้มันไปก่อน แล้วหัวหน้า หัวหน้าไม่เป็นไร ช่างมัน ช่างมัน

ปฏิคาหกไง ผู้รับ รับด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ รับมาแล้วเพื่อเจือจานหมู่คณะไง นี่ไง บุญไงๆ ถ้าเราแสวงหามาด้วยความทุกข์ความยาก ของเรามันลอยมาจากฟ้าหรือ เงินทองเขามาแจกใช่ไหม เงินทองเราไม่ลงมือทำมันมาได้อย่างไร มันมาด้วยสติปัญญาของเรา มันมาด้วยการกระทำของเรา ปฏิคาหก ด้วยสะอาดบริสุทธิ์ ได้แล้วพอใจเสียสละ สละแล้วมีความภูมิใจ ภูมิใจเพราะเราเห็นเรารู้ เรารู้ว่าผู้รับขึ้นมา ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ ให้ธรรมเป็นทานๆ ในหัวใจมีคุณธรรมหรือเปล่า

ถ้าในหัวใจมันมีคุณธรรม มันเป็นธรรมอยู่แล้ว มันเป็นธรรมตั้งแต่เขายังไม่ให้ มันเป็นธรรมตั้งแต่เขายังไม่มา มันเป็นธรรมตั้งแต่ในหัวใจน่ะ ถ้าหัวใจมันเป็นธรรม มันจะเป็นกิเลสไปได้อย่างไร ผู้รับ รับด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ แล้วมันทำความสะอาดบริสุทธิ์ สิ่งที่ความสะอาดบริสุทธิ์นั้น นี่พูดถึงว่าแก่นของศาสนา

แล้วเราเกิดมา เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราก็อยากหาที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวที่ความมั่นคงของเรา แล้วเรา จิตใจของเรามันก็มีกิเลส มีตัณหาความทะยานอยากปิดหัวใจของเรา มันมีไข่ครอบงำไว้ไง แล้วเราก็เป็นแค่เชื้อในไข่นั้นน่ะ แค่เชื้อไม่ได้ฟักเป็นตัว เป็นเชื้ออยู่ในไข่ ไข่แดงนั่นน่ะ แล้วเราจะไปรู้อะไรข้างนอกมันถูกหรือมันผิดล่ะ เราจะไปรู้อย่างไรล่ะ ฉะนั้น เวลาการกระทำของเรามันถึงลุ่มๆ ดอนๆ ไง การกระทำของเรามันถึงมีผิดพลาดไง เราเป็นเชื้อนะ ไข่ที่มีเชื้อ มันยังไม่ได้ฟักเป็นตัว มันเป็นเชื้อ เป็นวุ้น แล้วมันจะรู้อะไรถูกอะไรผิดล่ะ มันจะรู้สิ่งใดล่ะ มันก็ต้องลุ่มๆ ดอนๆ อย่างนี้

นี่ไง เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราก็หวังคุณงามความดี ให้ธรรมเป็นทาน ให้ธรรมเป็นทาน ธรรมนั้นมาจากไหน ธรรมนั้นทำอย่างไรล่ะ แล้วถ้าธรรมเป็นจริง เราต้องเข้มแข็งของเรา เราต้องมีสติปัญญาของเรา เราต้องฝึกฝนของเรา

นี่ไง ฟังธรรมๆ ตอกย้ำในหัวใจ อย่าดื้อนัก อย่าดีดดิ้นนัก ให้มันลงกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ลงกับคุณธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หัวใจนี้อย่าดื้อนัก เก่งขนาดไหน หาเหตุหาผล หาปัจจัยเทียบเคียงสิ มันเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง ถ้าเป็นจริง เป็นสมบัติของเรา

นี่ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อหัวใจดวงนี้ ถ้าหัวใจดวงนี้มันประเสริฐ มันดีขึ้นมา เป็นศาสนทายาทนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยากรื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ก็รื้อสัตว์หัวใจเรานี่แหละ ถ้าหัวใจเราได้รื้อได้ค้นด้วยมรรค ด้วยสัจจะ ด้วยความจริง มันจะพัฒนาขึ้นมา ศาสนทายาทให้มีคุณธรรมในใจของเรา ให้ใจเรามีธรรมเพื่อประโยชน์กับชีวิตนี้ เอวัง